วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

5 สุดยอดข้ออ้าง

5 สุดยอดข้ออ้าง
ที่ผู้นำเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นล่วงหน้า...
ผู้ตามแม้เห็นกับตายังไม่เชื่อตาตัวเอง.

1.ไม่มีเงิน
ไม่มีเงิน ไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะฉนั้น คุณไม่มีวันวิ่งหาคำตอบได้หรอก...สิ่งที่คุณควรจะถามตัวเองคือ "เราจะหาเงินจากช่องทางไหนได้บ้าง?"

2.ไม่มีเวลา
ไม่มีใครสนใจหรอก ว่าคุณจะใช้เวลาไปกับเรื่องอะไร คนอื่นมองแค่ผลลัพธ์ของคุณเท่านั้น...ถ้าคุณบริหารเวลาได้ไม่ดีพอ ผลลัพธ์ชีวิตของคุณมันก็ตอบด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

3.ทำไม่เป็น
ทุกคนมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ทำไม่เป็น ไม่ได้แปลว่า ทำไม่ได้...ถ้าอยากเห็นความสามารถของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ลองตั้งคำถามดูครับว่า "ต้องทำยังไง?"

4.ไม่ได้เรียนมาทางนี้
ความรู้ ไม่ได้สิ้นสุดแค่ในรั้วมหาลัย ใบปริญญาไม่ได้การันตีอนาคต ถ้าคุณเลือกที่จะหยุดเรียน ก็ห้ามบ่นถึงเรื่องความก้าวหน้า เพราะมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น

5.ยังไม่พร้อม
ส่วนใหญ่ของคนพูดแบบนี้คือ "ขี้เกียจทำ" อะไรคือไม่พร้อม ถ้ารอพร้อมคงไม่ต้องทำ คนประสบความสำเร็จเมื่อเห็นโอกาส มักเริ่มทำมันด้วยความไม่พร้อม

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "ประหยัดรายจ่าย"
แต่เค้ารวยจากการ "สร้างรายได้"

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "ทำงานง่าย"
แต่เค้ารวยจากการ "ทำงานยาก"

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "ทำงานหนัก"
แต่เค้ารวยจากการ "ทำงานฉลาด"

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "คิดเยอะ"
แต่เค้ารวยจากการ "คิดเป็น"

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "ขายแรงงาน"
แต่เค้ารวยจากการ "ขายไอเดีย"

ไม่มีเศรษฐีคนไหนร่ำรวยจากการ "ปฏิเสธโอกาส"
แต่เค้ารวยจากการ "มองหาโอกาส"

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คิดบวกกันเถอะ

คน นับเป็นทรัพยากรที่ต้องดูแล ต้องพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ
เพราะคนนั้นเป็นแรงขับเคลื่อนให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า
ถึงแม้องค์กรนั้น ๆ จะใช้เครื่องจักรมากเพียงใด ก็ต้องมีคนคอยควบคุมดูแล
แต่ คน ก็นับเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวเช่นกัน ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตต่อไป
จากอดีตที่ผมเคยทำงานด้านทรัพยากรบุคคล ทำให้เห็นปัญหาของคนค่อนข้างเยอะครับ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการทำงานร่วมกันที่มักจะประสานงา มากกว่าประสานงาน
ไม่ค่อยคุยกัน ต่างคนต่างมีอีโก้กัน ,ขาดความเคารพผู้อาวุโสกว่า ,ขาดการทำงานเป็นทีม
และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการทำงาน ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้นับวันจะเป็นปัญหาที่ทำให้องค์กรยากต่อการขับเคลื่อนและแข่งชันกับองค์กรภายนอก
ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับว่า องค์กรกำลังเผชิญความท้าทายอยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ว่าจะเป็น
1.เรื่องของการเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก
2.ลูกค้ามีทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น
3.ต้นทุนที่สูงขึ้นในการพัฒนาองค์กร
สิ่งเหล่านี้ทำให้ “คน” ในองค์กรจำเป็นต้องทำความเข้าใจ และต้องกลับมามองว่าสิ่งใดบ้างที่
จะช่วยเหลือองค์กรให้ผ่านพ้นปัญหาจากปัจจัยภายนอกนั้นได้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมบรรยาย
เรื่องการสร้างทัศนคติเชิงบวกมากกว่า 150 องค์กร พบว่า สิ่งที่วันนี้องค์กรจำเป็นต้องทำสิ่งแรกนั่นคือ
การสร้างพื้นฐานเรื่อง “ทัศนคติ” ต่อคนในองค์กร
โดยต้องรู้จักการใช้เครื่องมือในการสร้างทัศนคติที่ดีต่อองค์กร และต่อคนทำงานร่วมกัน
ซึ่งวันนี้ นอกจากเราจะดูแล ลูกค้าภายนอกที่มาใช้บริการเราให้ดีแล้ว
ก็ต้องหันมามอง ลูกค้าภายใน นั่นคือ คนที่ทำงานร่วมกันในองค์กร จำเป็นต้องมีความรัก ความผูกพัน
มีความสามัคคีกันในองค์กร มากกว่า ขัดแย้งกัน
ผมเอง โชคดีมาก ๆ ครับ สมัยที่ทำงานประจำในส่วนของ ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคลเมื่อปี 2554
ซึ่งตอนนั้นได้รับโจทย์จากผู้บริหารให้สอนเรื่อง การคิดเชิงบวก ทำให้ได้โอกาสศึกษาว่าแท้จริงแล้ว
การคิดบวก คืออะไร ทำไมต้องคิดบวก และคิดบวกมีประโยชน์อย่างไรในการใช้ชีวิต
ซึ่งจากการที่ผมได้ศึกษาเรื่องคิดบวก ทำให้พบแง่มุมที่น่าสนใจมาก ๆ
และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การดูแลครอบครัว หรือ การทำงานร่วมกันในองค์กรได้ค่อนข้างมากทีเดียวครับ
การคิดเชิงบวก สำหรับผมเอง ผมมองเป็นเพียงเครื่องมือตัวหนึ่ง ซึ่งไว้ใช้ในการพัฒนาตนเอง
สร้างความสุข มากกว่าความทุกข์ ซึ่งหลังจากที่ผมมีโอกาสได้ศึกษาหลักธรรมะ นั่นคือ ทางสายกลางทำให้พบว่า ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรสุดโต่ง เราต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับสิ่งที่เราเจอข้างหน้า
มากกว่าการยึดติด ไม่รู้จักปล่อยวาง
ดังนั้น การคิดบวก ก็เป็นเพียงเครื่องมือตัวหนึ่งซึ่งผมเองมองว่า มีทั้งข้อดี และข้อเสีย
ทำไมผมถึงบอกว่า มีข้อเสีย เพราะผมมองทุกอย่างตรงกลางครับ
เหมือนตัวเราเอง ถ้าเราไม่หลอกตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเอง เราจะพบว่า ทุกคนมีทั้งข้อดี และข้อเสีย ในตัวเอง
เช่นกันกับ คำว่า “คิดบวก” ที่มีทั้งข้อดี และข้อเสีย
ดังนั้น เรามาดูความหมายของคำว่า คิดบวก กันสักนิด
เริ่มจาก คิดบวกด้านดี มีไว้เพื่ออะไร ?
คิดบวกด้านดี มีไว้เพื้อ แก้ไขปัญหากับปัจจัยที่เราควบคุมได้
ปัญหามอง 2 มุม นั่นคือ
1.ปัจจัยที่เราควบคุมได้
2.ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
อะไรบ้างครับ คือ ปัจจัยที่เราควบคุมได้ นั่นคือ ตัวเรา ความคิดของเรา 100 %
อะไรบ้างครับ คือ ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ นั่นคือ ปัจจัยภายนอก
ฝนตก รถติด หรือแม้กระทั่ง คน ที่ไม่ใช่ตัวเรา

หากเราเจอ ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ บางครั้งต้องกล้าที่จะปล่อยวาง อย่าเก็บมาคิดให้ใจเป็นทุกข์
และกลับมาทบทวนว่า อะไรที่เราสามารถแก้ไขได้ นั่นคือ ตัวของเราเอง ห้ามนิ่งเฉย ห้ามปล่อยวาง
แต่ต้องรู้จัก สร้างทางเลือกของการแก้ไขปัญหานั้น ๆ เพราะ ปัญหาบางครั้งไม่ได้มีทางแก้ทางเดียว
จงเชื่อว่า ปัญหานั้นมีทางออก เช่น ถ้าทำงานผิดพลาดจากตัวเอง เราต้องคิดหาทางแก้ไข มากกว่านั่งทุกข์กับปัญหาที่เกิดขึ้น
หรือการโทษผู้อื่นก็ทำให้ใจเป็นทุกข์ ลองหยุดโทษผู้อื่น และหันกลับมามองตนเอง
เพื่อปรับปรุงแก้ไข ทำให้ดีขึ้นในครั้งถัดไป
นั่นคือ การคิดบวก ในด้านดีนะครับ
มองเป็นเพียงเครื่องมือของการแก้ไขปัญหากับปัจจัยที่เราควบคุมได้
เราจะพบความสุข และทางออกของปัญหา เชื่อผมเถอะ !!
ส่วน คิดบวกด้านไม่ดี ที่หลายคนมักจะเป็นกัน
นั่นคือ การหลอกตัวเอง การคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
การที่มองโลกสวยงาม จนชีวิตขาดการวางแผน ซึ่งเหล่านี้ เราต้องระวัง หรือ ดีดทิ้งในทันที
เพราะการที่เราคิดเข้าข้างตัวเอง หลายคนบอกว่า มันทำให้ใจเราเป็นสุข ซึ่งผมมองอีกมุมหนึ่งว่า
คนเราต้องอยู่กับความเป็นจริง มากกว่าอยู่แต่ในความฝันหรือโลกของตัวเอง
แบบนั้นเราจะเข้ากับผู้อื่นได้ยากครับ
สิ่งสำคัญ ต้องกล้ายอมรับในข้อเสีย ข้อบกพร่องของตัวเอง และนำไปปรับปรุงแก้ไข
ซึ่งหากเราเข้าใจ ผิดก็ยอมรับว่าผิด เราจะมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ดีกว่าเถียงทั้ง ๆ ที่ผิดนะครับ
เอาละ !! ผมให้เครื่องมือ คิดบวก ไปแล้ว ทั้งด้านดี และด้านไม่ดี
ด้านดี ก็จงนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตนเอง ส่วนด้านไม่ดี ก็ปรับปรุงต่อไป ชีวิตเราจะมีความสุขครับ
แต่ก็อย่ามองเพียง คิดบวก อย่างเดียว
เพราะทางสายกลาง มีบวก ต้องคู่ กับ ลบ
มีคนเคยถามผมว่า คนเราคิดลบจะดีหรือ ? เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ
ผมขอตอบแบบนี้นะครับ ลบ สำหรับผมก็คล้ายกับคิดบวก นั่นคือ มอง 2 มุม
ลบก็มีทั้ง ลบด้านดี และ ลบด้านไม่ดี ครับ มาดูกันครับว่า ลบด้านดี มีไว้ทำอะไร
การคิดลบด้านดี สำหรับผม มองในเชิงของการรู้จักวางแผน ป้องกัน สิ่งที่กำลังจะลงมือทำ
คนหลายคน มักจะโลกสวย จนประมาทกับชีวิต ไม่มีการเตรียมตนเอง วางแผน ป้องกันกับอนาคตที่กำลังจะก้าวเดิน
ทำให้เกิดความผิดพลาดจนยากจะเยียวยา ดังนั้น ก่อนทำสิ่งใด คิด วางแผนให้รอบด้าน
ใช้ประสบการณ์เป็นเสมือนบทเรียนในการวางแผนให้รัดกุม เพราะการมีแผนย่อมดีกว่า ไร้ทิศทางในการก้าวเดิน
แต่ก็ระวัง ความคิดที่มักจะฟุ้งซ่าน กังวล กลัว จากประสบการณ์ในอดีตที่เคยผิดพลาด
จำไว้ว่า อดีตเราแก้ไขไม่ได้ จำเป็นเพียงบทเรียนให้เราระวังในครั้งต่อไป แต่จงอย่ากลัว เพราะการกลัว
จะทำให้เราไม่กล้าลงมือทำ
การคิดเป็นเพียงนามธรรม นั่นคือ มันยังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงภาพในหัวของเราเท่านั้น
แต่การลงมือทำ เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ และทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งนั้น ถูก หรือ ผิด ครับ
เอาล่ะ !! หลังจากผมได้บอกเรื่องของ การคิดลบ ด้านดีไปแล้ว เห็นไหมครับ ไม่น่ากลัว
ทุกอย่างมีดี มีเสีย ในตัวมันเองครับ หากเรารู้จักเลือกใช้ในด้านดี ชีวิตเราย่อมเจอความผิดพลาดน้อยลง
จริงไหมครับ !!
ส่วนอีกด้านของการคิดลบ นั่นคือ
การคิดลบด้านไม่ดี และหลายคนรวมถึงตัวผมก็มักจะเป็นอยู่บ่อย ๆ
คือ อารมณ์เชิงลบ ที่ก่อกวนใจเราให้ทุกข์ มากกว่า สุข หลายคนพอมีอารมณ์เชิงลบแล้วปล่อยวางไม่เป็น
แต่กลับ แบก ความทุกข์นั้นให้ใจหนักขึ้นในทุก ๆ วัน ในอดีตผมเองก็เจอความทุกข์กับอารมณ์เชิงลบของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นอาการของ หงุดหงิด , ท้อถอยกับงาน , กังวลกับสิ่งที่มองไม่เห็น , กลัวในการเริ่มต้นในสิ่งใหม่ ๆ ฯลฯ
เหล่านี้ ทำให้เราตกหลุมพราง และยากจะดึงตัวเองขึ้นมา
หรือถ้าดึงตนเองขึ้นมาได้ก็เสียเวลาไปนานพอสมควร
แต่ก็ใช่ว่า อารมณ์เชิงลบจะแก้ไขให้หายขาดได้ เพราะผมเองก็ไม่สามารถรักษาได้หายขาด
แต่ผมเองจะใช้เครื่องมือถ่วงไม่ให้อารมณ์พุ่งขึ้น หรือ ถ้าพุ่งไปแล้วก็สามารถกดลงมาได้
และเครื่องมือที่ผมอยากจะแนะนำให้เราฝึกกัน
นั่นคือ “สติ” คือ รู้เท่าทันอารมณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และสามารถดีดมันทิ้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เพราะทุกครั้งที่เรามีอารมณ์เชิงลบ สิ่งที่หายไปนั่นคือ “สติ” เพราะมันถูกกดจากอารมณ์ของเรา
ทำให้ความทุกข์ก่อตัวขึ้น จนเราอาจเผลอทำสิ่งไม่ดีลงไป ซึ่งต้องระวัง โดยเฉพาะ คำพูด สีหน้า แววตา
การกระทำของเรา ที่อาจทำให้คนอื่น ๆ ขัดแย้งกับเราได้ครับ
สรุป
การคิดบวก การคิดลบ มองเป็นเพียงเครื่องมือตัวหนึ่งในการนำไปใช้ เพื่อฝึกให้เราเป็นคนที่มี
“ทัศนคติที่ดี” อยู่ตลอดเวลา ก่อนทำสิ่งใด ใช้คิดลบด้านดี วางแผนให้รอบคอบ ระหว่างที่เราลงมือทำ
หากเจอปัญหา ให้ใช้คิดบวกด้านดีมาใช้แก้ไขปัญหา และสร้างกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อ
มัน คือ วงจร ที่สอดคล้องกันครับ หากเรารู้จักฝึกใช้เราจะพบความสุขได้ไม่ยาก
และทุกครั้งที่เรามีความสุข ความสำเร็จจะก่อตัวขึ้นในทันที
ส่วน คิดบวก และ คิดลบ ด้านไม่ดี เราต้องรู้เท่าทัน และค่อย ๆ ฝึกในการปรับปรุงแก้ไข
จำไว้ว่า มองโลกตามความเป็นจริง รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอารมณ์เชิงลบของเรา
ต้องรีบดีดทิ้งให้ไว หากทำให้ใจเราเป็นทุกข์มากกว่าสุข
พื้นฐานเหล่านี้ ผมมองว่าทุกองค์กร จำเป็นต้องปลูกฝังให้พนักงานในองค์กรมีความรู้ความเข้าใจ
เพื่อสร้างรากฐานจากภายในสู่ภายนอก
หาก คนในองค์กรมีพื้นฐานทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกัน
องค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืน
เพราะต่อให้คนในองค์กรจะมีความรู้ ความสามารถ ความพยายามมากแค่ไหน
ก็ไม่สู้การมี ทัศนคติที่ รู้จักการปรับตัวพร้อมพัฒนาตนเอง และแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นอยู่เสมอ
และเมื่อ คน ในองค์กรมีพื้นฐานที่ดีแล้ว ต่อให้เรานำเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาใช้
คนเหล่านี้ ก็จะพร้อมเปิดใจในการเรียนรู้ครับ
เชื่อผมเถอะ !!