วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ตกลงผู้นำจะนำพาเราไปไหนดี

leaderway
ในฐานะที่ทำงานในองค์กร เคยสับสนมั้ยครับว่า เราควรจะเดินไปทางไหนอย่างไร และเราควรจะทำอะไรบ้าง เพื่อทำให้องค์กรไปสู่เป้าหมาย หรือบางคนอาจจะเคยรู้สึกว่า มาทำงานกับองค์กรแล้ว ไม่เคยรู้เลยว่า เป้าหมายขององค์กรที่เราทำงานอยู่นั้นเป็นอย่างไร และจะไปทางไหน ถามใคร ก็ไม่มีใครตอบได้สักคน ก็มีแต่คนบอกให้ไปถามผู้นำขององค์กร
เรื่องของวิสัยทัศน์ หรือถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าก็คือ เป้าหมายในการทำงานทั้งระยะสั้น และระยะยาวขององค์กรนั้น เป็นสิ่งแรกเลยที่ผู้นำขององค์กรจะต้องสร้างขึ้นมา จะต้องฝันให้ชัดเจน สร้างภาพความฝันที่จะไปสู่อนาคตที่ดีให้เห็นเด่นชัด และเมื่อชัดแล้วก็ต้องถ่ายทอดเป้าหมายนั้นสู่พนักงานในองค์กร ให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกันด้วย เพื่อที่พนักงานทุกคนจะได้รู้ทิศทาง รู้แผนงาน และรู้ว่าเป้าหมายที่จะเดินไปนั้นมันคืออะไร
มิฉะนั้นแล้ว พนักงานก็จะทำงานแบบไร้ทิศทางเช่นกัน นายสั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานบางคนคิดให้ด้วยซ้ำไป ว่าน่าจะต้องเดินแบบนี้ เป้าหมายของเราควรจะเป็นแบบไหน แต่ผู้นำก็อีโก้สูงเกิน ปิดความคิดของพนักงานไปจนหมด สุดท้ายพนักงานเองก็ไม่รู้ว่าจะเดินอย่างไร ไปทางไหนกันแน่ ทำงานแบบนี้มันไม่สนุกเลยจริงมั้ยครับ
ผมได้อ่านหนังสือของ คุณอินาโมริ คาซึโอะ ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่าเป็นเทพแห่งการบริหารคนหนึ่ง เป็นผู้บริหารที่ไม่มีความรู้เรื่องสายการบินเลยสักนิด แต่รับที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาสายการบินแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็คือ JAL จนสามารถเปลี่ยนสภาพจากเกือบล้มละลาย กลับมาผงาดและยิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิม
คุณอินาโมริ ท่านได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้นำ เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด พนักงานจะไปไม่ถูก เดินไม่เป็น ก็เพราะผู้นำไม่ทำ ไม่เดิน ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นนั่นเอง ท่านได้ให้แนวทางไว้ว่า การที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่รุนแรงแค่ไหนก็ตาม ตัวผู้นำจะต้องมีพลังอย่างแรงกล้า มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และต้องแสดงออกอย่างชัดเจนให้พนักงานเห็นว่าผู้นำเอาจริง ประเภทเปลี่ยนตัวเอง แถมยังมุ่งมั่นแบบกัดไม่ปล่อย เพื่อทำให้พนักงานรับรู้ว่าจะต้องถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ท่านได้บัญญัติกฎของผู้นำไว้ 12 ข้อ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ พื้นๆ ไม่ต้องมีทฤษฎีอะไรมากมาย แต่เอาไปทำแล้วประสบความสำเร็จมาแล้ว ดังนี้ครับ
  1. ทำให้วัตถุประสงค์ของงานและสิ่งที่ตั้งใจจะสื่อสาร มีความชัดเจน ตั้งเป้าประสงค์ยังผลเลิศแก่ส่วนรวมอย่างโปร่งใส
  2. ตั้งเป้าหมายให้สูงอย่างเป็นรูปธรรม และมีคุณธรรม เป้าหมายที่ตั้งขึ้นจะต้องเป็นเป้าหมายที่ตั้งร่วมกับพนักงานเสมอ
  3. รักษาเจตจำนงอันแรงกล้า มีความมุ่งมั่นและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปสู่เป้าหมาย ถึงขั้นที่ว่า ฝังลงในจิตใต้สำนึก
  4. มุ่งมั่นที่จะไม่แพ้ใคร ทำงานเล็กๆ ให้สำเร็จไปทีละก้าว อย่างมั่นคง ทุ่มเทต่อเนื่อง อย่าเกียจคร้าน
  5. เพิ่มยอดขายอย่างเต็มที่ ลดรายจ่ายให้น้อยที่สุด มีรายได้เท่าไหร่ให้นับให้แม่นยำก่อน แล้วค่อยวางแผนรายจ่ายให้เหมาะสม อย่าวิ่งไล่ตามผลกำไร กำไรจะตามมาเองทีหลัง
  6. การตั้งราคาเป็นการบริหารจัดการ การกำหนดราคาคืองานของผู้บริหารสูงสุด เป็นประเด็นสำคัญที่จะสร้างความสุขแก่ลูกค้าและทำกำไรให้บริษัท
  7. การบริหารจัดการขึ้นกับความตั้งใจที่แน่วแน่ และแรงกล้า เพื่อความสำเร็จ
  8. จิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชน การบริหารจำเป็นต้องมีใจนักสู้แรงกล้ากว่าการต่อสู้ใดๆ
  9. สู้งานด้วยความกล้าหาญ อย่าทำตัวขี้ขลาด
  10. ทำงานอย่างสร้างสรรค์อยู่เสมอ พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ มะรืนนี้ต้องดีกว่าพรุ่งนี้ จงปรับปรุงแก้ไขและหาไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ
  11. คบหากันอย่างซื่อสัตย์ด้วยน้ำใจไมตรี การค้าขายต้องมีคู่ค้า ทำให้คู่ค้าและเรามีความสุข ยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
  12. มีฝันและมุ่งหวังด้วยใจบริสุทธิ์ ทำงานเชิงรุกอย่างสดใสอยู่เสมอ
อ่านจบแล้วก็มีความรู้สึกว่า ท่านจะเน้นไปที่เรื่องของจิตใจ ว่าผู้นำที่จะฝันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างไปได้นั้นจะต้องมีจิตวิญญาณของนักสู้ และมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่มากๆ ท่านยังเสริมต่ออีกว่า เมื่อลูกน้องเห็นผู้นำต่อสู้ ความฮึกเหิมจะเพิ่มตามมา ตรงกันข้ามหากผู้นำแสดงความอ่อนแอให้เห็นเพียงนิดเดียว จะกระจายไปทั่วองค์กรในชั่วพริบตา และจะทำให้ความฮึกเหิมของพนักงานทั้งบริษัทลดลงทันที ซึ่งอันนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่ 100% เพราะเห็นมากับตนเองว่า ถ้าผู้นำไม่สนใจอะไรเลยและแสดงความอ่อนแอให้เห็น พนักงานทั้งบริษัทก็จะอ่อนแอตามไปด้วย แค่เพียงเปลี่ยนผู้นำใหม่ และผู้นำใหม่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ เอาจริง กัดไม่ปล่อย พนักงานชุดเดิม ก็เปลี่ยนวิธีในการทำงานได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำงานกันด้วยความหวัง และความสนุกอีกด้วย
ถ้าผู้นำเป็นอย่างที่ท่านอินาโมริ คาซึโอะ เขียนไว้ข้างต้น พนักงานเองก็คงไม่ต้องสับสน สงสัย และตั้งคำถามว่า “จะให้ผมไปทางไหนดีครับ”
Credit:คัดลอกบางส่วนจากหนังสือเรื่อง ถอยก็ตายวิกฤตยังไงก็ต้องสู้เขียนโดย อินาโมริ คาซึโอะ แปลโดย สุดารัตน์ เอื้อเปี่ยมมงคล สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พูดโดนใจ เหมือนท่าน ซุนวู ได้กล่าวไว้ว่า “ชมคนด้วยวาจายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ”

speech
            เตรียมข้อมูลนำเสนอในที่ประชุมอย่างดี พอเอาเข้าจริงตกหล่นไปหลายเรื่อง เซรงเป็ดเลยเรา!! เวลาพูดท่ามกลางมหาชนหมู่มาก ขาดความมั่นใจ ประหม่า ขาสั่น ทุกที ให้ได้อย่างนี้สิช้าน !! อยากพูดให้สนุก มีสาระ เป็นนักพูดกับเค้าบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่เคยถึงฝั่งฝันสักหน !!   ต้องบอกว่าอาการดังกล่าวนักพูดหลายคนเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนก้าวมายืนถือไมค์ ไฟส่องหน้า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมๆกับทักษะนานับประการที่ถูกฝึกฝนมาอย่างมินิมาราธอนแต่ยังเยาว์ ย้อนดูตอนวัยเด็กเราหัดพูดเขียนภาษาไทยได้ ต่อมาครูก็เคี่ยวเข็นด้วยภาษาอังกฤษ ฟุด ฟิด ฟอ ไฟ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยบางบริษัทก็ปฐมนิเทศอย่างหนักหน่วง ตั้ง Competency , KPIs ซะน้องใหม่แทบร้องไห้หาแม่ เมื่ออยากก้าวหน้าทั้งเงินเดือนและตำแหน่งก็ต้องฝึกบริหารให้เป็น พูดให้ถูกกาละเทศะ มิฉะนั้น ไม่มีใครอยากร่วมทีมทำงานด้วย
          อย่าได้หวั่นค่ะ ในตอนนี้คุณมีอาวุธที่คมกริชอยู่กับกาย นั่นคือ คำพูด รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งแน่นอน นักพูดที่ดีคือผู้ที่สามารถสะกดคนฟังด้วยน้ำเสียงและประโยคแรกของคำพูด จำไว้!!! ในงานมอบรางวัลพนักงานดีเด่นประจำปี …สวัสดีค่ะ วันนี้ตื่นเต้นจริงๆที่ได้มาเป็นพิธีกรในงานประกาศมอบรางวัลพนักงานดีเด่นนี้  (บั่นทอนกำลังใจตนเองและสร้างความไม่มั่นใจให้ผู้ฟัง อย่างแรง!!) เปลี่ยนประโยคใหม่เป็น สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรษ  กว่าจะมาถึงค่ำคืนอันทรงเกียรตินี้ต้องบอกว่าคะแนนการคัดเลือกพนักงานของบริษัทเรา “เพชรตัดเพชร” เลยทีเดียว ….จะพูดอย่างไรให้ผู้ฟังประทับใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่าการพูดให้ได้ตามเนื้อหาที่เตรียมมา
ขอแนะนำเทคนิคเบื้องต้น เพื่อให้โดนใจผู้ฟังแบบพอดิบพอดี
     1. อ่านบทความ หรือหนังสือ วันละ 1 เรื่อง ฝึกอ่านออกเสียงนะคะ สะกดตัว ร ล ตัวควบกล้ำ  ช้าๆชัดๆฝึกทุกวันให้เมื่อยลิ้นกันไปเลยทีเดียว การพูดชัด ฉะฉานถือเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของนักพูดเมื่อเจรจางานใดกับใครเป็นที่ประทับใจในน้ำเสียงที่คมชัด เปิดประชุมกี่ครั้งหัวหน้างานเราหรือผู้บริหารพูดได้ชัดเจนจับใจเหลือเกินต่างกับหัวหน้างานอีกแผนกพูดเบา ค่อย ฟังไม่ได้ศัพท์ ถามว่าเราจะภูมิใจใครมากกว่ากัน ??
     2. ฝึกเล่าเรื่อง ระหว่างสนทนาในกลุ่มเพื่อน กลุ่มทีมงาน หรือกลุ่มลูกค้า โดยฝึกลำดับใจความสำคัญของเรื่องง่ายๆคือ ใคร ทำอะไร ที่ไหนและอย่างไร ให้ผู้พูดนึกถึงตอนเราดูละครหรือภาพยนต์มีการดำเนินเรื่องและจบบริบูรณ์อย่างไร หากละครเรื่องนั้นจบแบบให้เรากังขาว่าตกลงจบแล้วหรือนั่น แสดงว่าการเล่าเรื่องไม่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญฝึกเน้นเสียง หนัก เบา สีหน้าไปพร้อมกับน้ำเสียง ที่สำคัญอย่าใส่อารมณ์ถึงพริกถึงขิงมากเพราะจะดูเรา เยอะไป !!!
     3. ฝึกใช้คำคม คำพังเพยเปรียบเทียบ ปรัชญาที่เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาที่พูด ทำให้เราดูเป็นนักพูดที่มีดีกรี ยิ่งนักพูดในเส้นทางวิชาการต้องอ่าน ค้นคว้า วิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศเพื่อนำมาอ้างอิงให้คำพูดมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่าง
• กรณีเราต้องการชื่นชมทีมงาน “แผนกขายเราเสมือนทำงานเข็นครกขึ้นภูเขา แต่น้องๆทุกคนสามารถทำงานที่ยากนี้มาแบบง่ายๆ พี่ชื่นชมพวกเราจากใจจริงๆ”
• กรณี มีการทำงานผิดพลาด  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า “Anyone who has never made a mistake has never tried something new คนที่ไม่เคยผิดพลาดเลยคือคนที่ไม่เคยลองทำอะไรใหม่ๆ” แต่ต้องเรียนรู้จะแก้ไขนะน้องนะ
• ซุนวู ได้กล่าวไว้ว่า “ชมคนด้วยวาจายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ”
      4. ฝึกนำประสบการณ์หรือฝึกยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย หรือที่ผู้สอนเรียก “Case study” แต่ควรระวังการนำแต่ละเรื่องมายกตัวอย่าง ให้จำไว้ว่า ตัวอย่างที่นำมาพูดประกอบที่ดีนั้น ควรมี จุดเด่น 3 จุด คือ 1.ความยาวของเนื้องหาไม่ควรเกิน 5 นาที เพราะหลังจากนั้นความสนใจจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง  2.เป็นเรื่องแปลก มีความพลิกผันเหตุการณ์ สอดคล้องกับเนื้อหา หักมุมได้น่าติดตามที่สำคัญเรื่องมีความทันสมัย 3.เป็นเรื่องที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง แต่หากกลุ่มผู้ฟังมีความหลากหลายในอายุ ให้นักพูดเลือกใช้เรื่องที่ ปัจจุบันคนกำลังให้ความสนใจอยู่หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบเดือนนั้น
     5. ฝึกกิริยา ท่าทางสง่างาม ใช้มือและนิ้วแต่พอดี อย่ากรีดกรายยกมือเกินงามทำให้ผู้ฟังสนใจแต่มือเรามากกว่าเนื้อหาที่พูด หากต้องรับบทบาทวิทยากร ควรมีอารมณ์ขัน มุมสบายๆสอดแทรกให้ผู้ฟังผ่อนคลายและเปิดทรรศนะทางการแสดงความคิดเห็น สิ่งที่นักพูดหลายคนอยากเห็นคือผู้ฟังไม่นั่งหลับตลอดรายการอบรม
     สำหรับใครจะพูดยาว พูดสั้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหา ระยะเวลาที่ได้รับในการพูด หลังจากเมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้วให้คุณเริ่มหัดฝึกพูดเสียแต่วันนี้ ไม่แน่ พรุ่งนี้คุณอาจได้รับมอบหมายให้พูดท่ามกลางประชาชนหมู่มาก ยืนอยู่ระหว่างสายตาร้อยคู่ที่จับจ้อง ถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะมีความกล้าวันไหน ถึงเวลาแล้วที่คุณจะ “ปล่อยของ” ….

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บริหารสมอง

brain
     คุณทราบหรือไม่? หากคุณไม่ออกกำลังกายสมองเสียแต่วันนี้ ภาวะสมองเสื่อม(Dementia) อาจมาเยือนในไม่ช้า…หากรู้วิธีดูแลและป้องกันเสียแต่วันนี้ เราจะมีสมองสดใส คิดอะไรก็บรรเจิด นำพาชีวิตพบแต่สิ่งดีดี
มาเรียนรู้สมองกัน …
     สมอง (Brain) นั้น มีรูปร่างก้อนรูปไข่(Egg-shaped)ขนาดใหญ่ สมองผู้ใหญ่น้ำหนักเฉลี่ย 1,300 กรัม ผิวสมองลักษณะเป็นลูกคลื่น  คลื่นที่นูนของสมองเรียก “Gyri” ร่องแยกลูกคลื่นเรียก “Sulci”  พื้นสมองที่ลักษณะเป็นคลื่น Convolution โดยพบว่าหากมีคลื่นสมองมาก ผู้นั้นจะมีสติปัญญาดี เฉลี่ยวฉลาด มีไหวพริบและความจำเป็นเลิศ   ดังเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ 
     “ โธมัส อาร์วีย์ พยาธิแพทย์ โรงพยาบาล พรินซ์ตัน ได้ทำการผ่าตัดสมองอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ปี 1955 และบันทึกภาพถ่ายเก็บไว้ แบ่งสมองเป็น 240 ส่วน เพื่อเก็บรักษา ต่อมา นักมานุษยวิทยา พบว่าสมองของไอน์สไตน์มีรอยหยักซับซ้อน ขรุขระมากกว่าคนปกติทั่วไป”
หน้าที่
สมองสองซีกควบคุมการทำงานของร่างกายสลับกัน ขวาควบคุมซ้าย ซ้ายควบคุมขวา
สมองส่วนหน้า (Cerebrum) : ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความฉลาด ไหวพริบ(Intelligence) ความทรงจำ (Memory) ความรู้สึกรับผิดชอบต่างๆ
Nerve Centers : ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การมองเห็น ได้ยิน กลิ่น และรส
Hypothalamus : ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย การตื่น การหลับ รักษาระดับน้ำเกลือแร่ ควบคุมการเผาผลาญอาหาร คาร์โบไฮเดรต ไขมัน    
brain
        นอกจากการใช้สมองคิด พัฒนางานแล้ว เราควรเรียนรู้การให้รางวัลสมองบ้าง โดยการผ่อนคลายสมองและบริหารสมองทุกวัน เพื่อให้สมองได้กระชุ่มกระชวย ใช้งานได้ดีเยี่ยมไปอีกนานแสนนาน
brain
วิธีบริหารสมอง
ออกกำลังกายสมอง ด้วย Brain Gym  โดย ดร.พอล  เดนนิสัน
  • การเคลื่อนไหวสลับข้าง (Cross Over  Movement) เพื่อให้การทำงานของสมองซีกซ้ายขวามีการทำงานเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ดี เช่น ท่าแตะสลับ,ท่าเคลื่อนไหวสลับข้าง (Cross Crawl) 1-10 เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน,ไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อค,กระตุ้นสมองที่มีการสั่งการให้เกิดความ,สมดุลทั้งซ้าย-ขวา,กระตุ้นความจำ
  • ท่ายืดส่วนต่างๆของร่างกาย (Lengthening Movement)  ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดของสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง เช่น ท่าโยคะต่างๆ
  • การเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้น(Energizing Movement) ท่าช่วยกระตุ้นการทำงานของกระแสประสาท ช่วยให้สมองตื่นตัวมีการเรียนรู้รับรู้ดีขึ้น
  • การเคลื่อนไหวร่างกายทุกสัดส่วนทั่วไป(Useful) เช่น ท่าหมุนคอ ,ท่าสะบัดมือ ,ท่าหมุนเอว,ท่าหมุนเข่า,ท่ากระโดดตบ
  นอกจากนี้แล้ว เล่นเกมส์ Sudoku  ,อ่านหนังสือ,นั่งสมาธิ จะช่วยให้สมองมีการฝึกคิดทักษะ ฝึกการจดจ่อในเป้าหมายงาน
สมองเรียนรู้ช้า  เพราะอะไร ??
คิดแต่เรื่องลบ     หมดเวลาส่วนมาก ไปกับการคิดแต่เรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ ใส่ความคิดแต่เรื่องผิดๆในสมองมากเกินจำเป็น ทำให้สมองถูกใช้ในทางที่ผิด
สมองขาดสมาธิ ขาดความสามารถจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่องหรือขาดสมาธิแน่วแน่ในการทำงาน มักมีความสามารถเรียนรู้ในระยะสั้น
คิดแต่เรื่องในอดีต  ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ความกังวลใจ ซ้ำแล้วซ้ำอีกสิ่งนี้บั่นทอนการพัฒนาสมอง
ปัจจัยที่ทำให้สมองเรียนรู้เร็ว
เปลี่ยนความคิดจากแง่ลบเป็นแง่บวก   ปรับทัศนคติตนเองใหม่โดยหัดยิ้มกับตนเองจากภายในใจสู่ภายนอก ไม่ตั้งแง่ลบกับผู้อื่น ไม่มองผู้อื่นด้วยหางตา การปรับแนวคิดนั้นบางคนคิดว่าเป็นเรื่องยาก หากไม่สามารถฝึกคิดบวกได้ ให้หาเข้าอบรมหลักสูตรคิดบวก(Positive Thinking Course) เพื่อหาแนวคิดที่ลงตัวกับตัวเอง หาแรงจูงใจในการคิดดี สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เป็นที่รักเพื่อนร่วมงาน
คิดแบบทางสายกลางตามหลักคำสอน พุทธทาส ภิกขุ ท่านกล่าว
"จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง”…
     หาวิธีผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ  โดยหากิจกรรม/งานอดิเรกทำในยามว่างทำ เช่น เดินเที่ยวชมธรรมชาติ  ไปสถานที่พักผ่อน  ตากอากาศ  ทำกิจกรรม CSR บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
     ไม่นั่งครุ่นคิดแต่งานประจำ หรือนั่งจุ่มตัวลงหน้าโทรทัศน์ หน้าจอโทรศัพท์ ทั้งวัน โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะเหล่านี้ เป็นเหตุให้สมองอ่อนล้า ไม่มีการผ่อนคลาย คิดทำอะไร สมองไม่ไหลลื่นดังคิด
     สังเกตและสำรวจตนเอง ว่ามีการเรียนรู้วิธีใดดีที่สุดเป็นพิเศษ เช่น การอ่านหนังสือ ,งานศิลปะ,ดนตรี,วาดรูป,เล่นกีฬา แล้วหากิจกรรมที่ชื่นชอบทำนอกจากเกิดความเพลิดเพลินแล้ว สามารถประทินปัญญา บางท่านหากิจกรรมที่ตนเองชอบทำ หมั่นฝึกฝนจริงจัง พบพรสวรรค์ในตนเองก็มี 
     พยายามตั้งคำถาม เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับสมอง นำมาเปรียบเทียบเพื่อคิดวิเคราะห์  หัดมีคำถามต่อสิ่งที่มองเห็นเสมอหรือสรุปแนวคิดแบบ Mind Mapping เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับสมองอย่างมีระบบ  ไม่ว่าจะเป็น การสรุปบทเรียน ,การสรุปงานประจำวัน,สรุปงานประชุม ,สรุปปัญหาในงาน เป็นต้น
     ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ร่างกายกระฉับกระเฉง วันละ 10-20 นาที หรือ 3-5 วัน /สัปดาห์ หากมีพื้นที่จำกัด ให้หาท่าออกกำลังกายที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เช่น Sit UP ,ยกดรัมเบล
     สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาต่างกัน
ิbrain
      งานวิจัยของมหาวิทยาลัย บาเซิล สวิตเซอร์แลนด์  พบว่า การจิบชาเขียว(Green Tea)เป็นประจำช่วยเพิ่มสมรรภาพของสมองในส่วนของความจำ
brain
     สำหรับการดื่มชาเขียวนั้น ควรมาจากธรรมชาติแท้นั้น ปริมาณที่พอเหมาะ และไม่มีส่วนผสมจากการปรุงรสใดๆ จึงจะมีประโยชน์สูงสุด ควรดื่มทันทีหลังการชงใบชาเขียว 1 - 2 ช้อนชาในน้ำร้อน วันละ 3 ถ้วย แต่ไม่ควรเกิน 10 ถ้วยในระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ได้คุณประโยชน์สุงสุดต่อสุขภาพ
     ซึ่งปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์หลายแบรนด์ทั้งเครื่องดื่ม อาหาร หรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ มีการผลิตสินค้าออกมาสู่ท้องตลาดจำนวนมาก นอกจากรสหวานเจี๊ยบชวนชื่นใจ คาร์โบไฮเดรตจำนวนมากแล้ว อาจนำมาซึ่งภัยเงียบแบบไม่รู้ตัว เช่น เบาหวาน ,ภาวะอ้วน เป็นต้น ทั้งนี้ ก่อนซื้อผู้บริโภคควรพิจารณาฉลากด้านข้างสินค้าสักนิด เพื่อการบริโภคแต่พอควร และไม่หลงเชื่อโฆษณามากกว่าคุณประโยชน์ที่แท้จริง
      การบริหารสมอง เรื่องดีดีที่ไม่ควรมองข้าม ทำให้สมองเรามีความคิดใหม่ใหม่เข้ามาเสมอ ความจำดี มีโอกาสก้าวหน้า มีความสำเร็จในงานสูงกว่าคนทั่วไป ลองทำดูนะ !!!
ที่มาข้อมูล
หมอชาวบ้าน
วรนันท์ ศุภพิพัฒน์. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชาเขียว สารออกฤทธิ์ที่สำคัญและปริมาณการบริโภคที่เหมาะสม

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคีย์บอร์ดมีฟังก์ชันซ่อนอยู่!อย่างงี้ก็คือ ใช้ไม่เป็นมาตลอด…

1. หลายครั้งที่ต้องลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อไปทำธุระอย่างอื่น ถ้าต้องการที่จะไม่ ให้คนอื่นรู้เรื่องงานที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น ให้กด Windowsกับกดตัว L พร้อมกัน เพียงแค่นี้ก็สามารถล็อคหน้าจอคอมได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่ามีใครเห็น ความลับที่อยู่ในคอม
 
2. เมื่อต้องการหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ คนปกติทั่วไปมักจะนึกถึง"คอมพิวเตอร์ของฉัน"แล้วก็เข้าไปค้นหาข้อมูลด้านใน แต่จริงๆแล้วแค่กด Windows กับกดตัว E พร้อมกัน ก็จะเปิดเข้าไปในการจัดการข้อมูลของคอมพิวเตอร์แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็จะค่อยๆหาจากรูปข้อมูล"คอมพิวเตอร์ของฉัน"



3. ในบางครั้งกำลังแอบเล่นเกมส์หรืออ่านการ์ตูนอยู่ แล้วบังเอิญเจ้านายหรือเพื่อน เดินมาหาพอดี!ต้องการซ่อนหน้าจอโดนด่วนจะต้องทำยังไงนะ?ไม่ต้องเครียดไป!เพียงแค่กด Windowsกับกดตัว D พร้อมกันก็สามารถซ่อนหน้าจอได้แล้ว



4. มีฟังก์ชันที่สุดยอดและไม่ยุ่งยาก คือ Windowsกับกดตัว Tab พร้อมกันก็สามารถเห็นหน้าจอเป็นฟังก์ชั่น 3 มิติแล้ว



5. Windowsกับกดตัว R พร้อมกันก็สามารถเข้าosk ก็จะปรากฏแป้นพิมพ์เสมือนจริง ขึ้นมาบนหน้าจอ ก็สามารถใช้แป้นพิมพ์บนหน้าจอพิมพ์ได้เช่นกัน 



6. รูปเล็กเกินไปจะทำอย่างไร?แค่กดwindows กับสัญลักษณ์ + พร้อมกัน ก็สามารถ ปรับรูปให้ใหญ่ขึ้นได้




7. บ่อยครั้งที่ชอบเปิดหลายๆหน้าจอพร้อมๆกัน ถ้ากด Ctrl+Tab ก็สามารถเก็บหน้าจอต่างๆมาไว้ด้านล่างได้ ถ้าต้องการปิดหน้าจอเพียงแค่กด Ctrl+w เท่านี้ก็เรียบร้อย

ปุ่มลัดของคีย์บอร์ดอื่นๆ :
Ctrl+S บันทึกเอกสาร
Ctrl+W ปิดหน้าที่กำลังเปิดใช้งานอยู่
Ctrl+N สร้างเอกสารใหม่
Ctrl+O เปิดหน้าต่าง Open เพื่อเปิดไฟล์
Ctrl+Z ยกเลิกการทำงานก่อนหน้านี้ (Undo)
Ctrl+F หาข้อมูลในคอมพิวเตอร์
Ctrl+X ตัดข้อความหรือออบเจ็กต์ที่เลือกไว้
Ctrl+C ก๊อปปี้ข้อความหรือออบเจ็กต์ที่เลือกไว้
Ctrl+V วางข้อความหรือออบเจ๊กต์ที่เลือกไว้
Ctrl+A เลือกข้อความทั้งหมด
Ctrl+[ ขยายขนาดตัวหนังสือให้เล็กลง
Ctrl+] ขยายขนาดตัวหนังสือให้ใหญ่ขึ้น
Ctrl+B ทำข้อความเป็นตัวหนา
Ctrl+I ทำข้อความเป็นตัวเอียง
Ctrl+U  ขีดเส้นใต้ข้อความ
Ctrl+Shift สับเปลี่ยนโครงร่างข้อความสองทิศทาง
Ctrl+Home ไปที่จุดเริ่มต้นของเอกสาร
Ctrl+End ไปที่ส่วนท้ายของเอกสาร
Ctrl+Esc ไปที่ส่วนรายการหน้าหลัก
Ctrl+Shift+< ลดขนาดตัวอักษรของการเลือก
Ctrl+Shift+> เพิ่มขนาดตัวอักษรของการเลือก
Ctrl+F5 รีดาวน์โหลดหน้าจอในอินเตอร์เน็ต
Ctrl+Shift ทางลัด
Alt+ space +ปิดหน้าจอ
Alt+ space +สลับไปหน้าจอเล็ก
Alt+ space +ซ่อนหน้าต่างลง
Alt+ space +เพิ่มหน้าต่าง 
Alt+ space +การโยกย้ายหน้าต่าง
Alt+ space +S ปรับเปลี่ยนขนาดหน้าต่าง
Alt+Tab สลับระหว่างรายการที่เปิด
Alt+F เรียกเปิดรายการเอกสาร
Alt+V เรียกเปิดรายการรูป

Shift + Delete เป็นการลบบางส่วนที่เลือกไว้ แต่ไม่ได้ลบไปอยู่ในถังขยะ
เมื่อกดปุ่มCTRLพร้อมเลื่อนเม้าส์ คือการก๊อปปี้ข้อความหรือออบเจ็กต์ที่เลือกไว้เพื่อวางอีกที่
เมื่อกดปุ่มCTRL + SHIFT พร้อมเลื่อนเม้าส์ ขณะที่ลากรายการ สามารถสร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก

สนมั้ย.....

ปฐมนิเทศน์



     การแนะนำรายละเอียดขององค์กร โครงสร้าง หน้าที่งาน วัฒนธรรมองค์กรคงไม่เพียงพอ ที่ทำให้ตัดสินใจทำงานหรือเดินจากไปแบบกู่ไม่กลับ หลายองค์กรพยายามเฟ้นหาคนเก่งมาทำงานพร้อมกับสูญเสียคน เก่งให้คู่แข่งไปแบบลอยละลิ่ว ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆสำหรับการจัดโปรแกรมปฐมนิเทศ (Orientation)พนักงานใหม่ ความสำคัญอยู่ที่ผู้จัดโดยฝ่ายพัฒนาบุคลากรมีความพร้อมในการวางแผนอย่างไร กำหนดวัตถุประสงค์เตรียมวางโปรแกรมเหมาะสม หรือไม่
     หลายท่านพบปัญหา เรื่อง ผู้เข้าปฐมนิเทศน้อยไป ไม่มีวิทยากรภายในอบรม รูปแบบการจัด ห้องประชุมงบประมาณจำกัด หรือแม้แต่ ระยะเวลาเร่งรีบ แผนกต้องการคนทำงานทันที พนักงานใหม่ที่นี่ เก่าที่อื่นหรือใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ย่อมต้องการรับทราบข้อมูลที่จำเป็นขององค์กร เพื่อการทำงานที่มีความคล่องตัว ตรงตามวัตถุประสงค์ขององค์กร จึงจะสามารถ “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ได้
     ฝ่ายพัฒนาบุคลากรจึงควรให้ความสำคัญในการจัดโปรแกรมปฐมนิเทศ(Orientation)ควบคู่กับ โปรแกรมพัฒนาพนักงานใหม่ (Trainee Program) ด้วยประสบการณ์ของผู้เขียนในการเป็นที่ปรึกษางานพัฒนาบุคลากร พัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมพนักงาน
แนะนำสูตรสมการ การปฐมนิเทศพนักงานใหม่ เรียก “1 - 3 - 5 – 1

จำนวนชั่วโมงการอบรม คิดเป็น (100%) ขึ้นอยู่กับการประมวลผลสมการข้างต้น โดยคิดดังนี้
          1.Policy คือ นำนโยบายและทิศทางองค์กรในปีนี้ โครงสร้างฝ่ายบริหาร แผนกงาน ส่วนงานที่ต้องประสานงานรวมถึงหน่วยงานให้คำปรึกษากรณีพนักงานใหม่พบข้อผิดพลาด หัวข้อนี้ทำให้พนักงานไม่ลอยเคว้งหรือหมดกำลังใจปฏิบัติหน้าที่ต่อ กรณีพบปัญหาในงานหรือหัวหน้างาน ที่สำคัญสร้างความน่าเชื่อถือต่อภาพลักษณ์แรกที่พนักงานเข้างาน
          2.Training Need Survey คือ ประมวลผลที่สำคัญด้านความต้องการและความจำเป็นในการฝึกอบรมจากข้อมูลเดิมปีที่ผ่านมา ใช้เป็นหัวข้อฝึกอบรมพนักงานใหม่ ไม่ต้องลงรายละเอียดเชิงลึก ให้พนักงานเห็นภาพใหญ่(Big Picture)โดยสังเขป ลำดับความสำคัญแต่ละหลักสูตร ไม่เกิน 3 หลักสูตร เช่น หลักสูตรทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communications),หลักสูตรการบริหารเวลา (Time management) เป็นต้น
          3.JD คือ หน้าที่งานสำหรับพนักงานใหม่ แต่ละแผนกงาน ไม่ต้องลงรายละเอียดระบุเป็นรายบุคคล ควรชี้แจงภาพรวมของแต่ละส่วนงาน พนักงานต้องทำงานหรือประสานงาน ในหัวข้อนี้ ฝ่ายพัฒนาบุคลากรควรมีการ วางแผนจัด พี่เลี้ยง(mentoring)ผู้มีความชำนาญการทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ควรมีอายุงาน 3 ปีขึ้นไป ไว้คอยดูแล ให้คำปรึกษาในเนื้องาน พร้อมจัดตารางชั่วโมงฝึกฝนอบรม ให้พนักงานเกิดความชำนาญ การจัดชั่วโมงฝึกมากหรือน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละหน้าที่งาน โดยนำ Competency มาใช้ในการเก็บชั่วโมงฝึกฝนได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
          4.Ice Breaking /workshop เป็นการจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรม เพื่อคลายความวิตกกังวลของพนักงานใหม่ ทำ ความรู้จักเพื่อนร่วมองค์กร เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรร่วมกัน พร้อมผสมผสานการจัด workshop เปิดเวทีนำเสนอและสร้างสรรค์แนวคิดสำหรับพนักงานใหม่ต่อองค์กร การจัดกิจกรรมนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่ ผู้จัดอาจปรับเปลี่ยนตามจำนวนคน ขนาดห้องประชุม มีการสรุปกิจกรรมโดยทีมวิทยากรหรือผู้จัด ผู้เข้ารับการปฐมนิเทศจะมี ความรู้สึกผูกพันต่อเพื่อนและองค์กรในระดับหนึ่ง ถือว่ากิจกรรมนี้ ต้องอาศัยทีมหรือผู้จัดที่มีความเป็นมืออาชีพมีความกระตือรือร้น การจัดโปรแกรมนี้จะมีประสิทธิภาพ
          เทคนิคการจัดอาจมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมตามขนาดองค์กร สิ่งที่ผู้จัดการอบรมพัฒนา ลืมไม่ได้เลย นั่นคือ เมื่อจัดการปฐมนิเทศบุคลากรใหม่เรียบร้อยแล้ว ควรมีการประเมินผล(Evaluation)พนักงาน ใหม่รายเดือน 3 เดือน 6 เดือน และรายปี เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องพัฒนาปรับปรุง เสริมสมรรถนะความสามารถ พนักงาน ให้ตรงกับคุณสมบัติหน่วยงาน และเสริมรากฐานการพัฒนาสู่ความสำเร็จในอาชีพต่อไป
          ท้ายที่สุด หากองค์กรให้ความสำคัญ “ ก้าวแรกพนักงาน ” เชื่อแน่ว่า อย่างน้อยพนักงานที่คงอยู่หรือเดินจากไป จักเป็น “กระบอกเสียงสำคัญ” ต่อภาพลักษณ์องค์กรไม่ต้องเปลืองงบโฆษณา

Competence

competency
     ทั้งนี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการนำผลประเมิน Competency เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดการพัฒนาต่อเนื่อง
1. การบริหารจัดการบุคลากร (Human Resource  Management)
 • การเลื่อนตำแหน่งงาน (Promotion) เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรทั้งด้านความสามารถ ศักยภาพ ให้สามารถเลื่อนไปสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น
 • การโอนย้ายพนักงาน(Transfer) ในกรณีตำแหน่งงานว่างลง สามารถนำพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาดำรงตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม ทันท่วงที
 • การสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน (Job Rotation) บางตำแหน่งจำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งงาน เพื่อการทำหน้าที่อย่างเหมาะสม ถูกต้อง ไม่มีข้อผูกมัดเฉพาะบุคคล ผลประเมิน Competency สามารถเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจพิจารณาเลือกบุคลากรสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน ได้เป็นอย่างดี
 • การสรรหาบุคลากร (Recruitment) ผลการประเมิน Competency ช่วยในการประเมินคุณลักษณะ ความสามารถพนักงานตำแหน่งนั้นๆ ว่ามีความเหมาะสม เพียงพอต่อการดำรงตำแหน่งหรือไม่  เพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความเหมาะสมต่อไป
     แม้การพิจารณาเข้าทำงานในครั้งแรกเป็นการประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น แต่เมื่อได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่จริงในหน้างาน การประเมินผล Competency ช่วยในพิจารณาด้วยข้อมูลความเหมาะสมในการทำงานจริง ว่าเหมาะสมต่อหน้าที่ดังกล่าวหรือทำหน้าที่หน่วยงานอื่นตามถนัด  
2.การบริหารค่าตอบแทน (Compensation Management)
     ผลของการประเมิน Competency สะท้อนให้เห็นผลลัพธ์ของการปฏิบัติงานของแต่ละตำแหน่งงาน โดยสามารถเป็นส่วนสำคัญต่อการจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆแก่พนักงานในองค์กร เช่น การปรับขึ้นเงินเดือน เบี้ยขยันพิเศษ โบนัส ค่าประจำตำแหน่ง เป็นต้น
3. การพัฒนาบุคลากร (Human Resource Development)
     ผลการประเมิน Competency ช่วยในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรในองค์กรแต่ละหน่วยงาน นอกจากการสำรวจความจำเป็นในการฝึกอบรม(Training needs) แล้ว หน่วยงานพัฒนาบุคลากรยังสามารถนำผลประเมิน Competency วางแผนจัดทำหลักสูตรหรือโปรแกรมการอบรมภายใน ภายนอก ที่เหมาะสมตามลำดับความสำคัญละบุคคล 
     เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาต่างๆ เช่น การสอนงาน (Coaching),การเพิ่มปริมาณงาน(Job Enlargement),การเพิ่มคุณค่างาน(Job Enrichment),การให้คำปรึกษา(Consulting)หรือการติดตามสังเกตผู้เชี่ยวชาญ(Job Shadowing) เป็นต้น
4. การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพ(Career Path)
     ผลการประเมิน Competency ช่วยพิจารณาการพัฒนาและการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสู่สายอาชีพหรือข้ามสายอาชีพที่เกี่ยวข้อง สู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น  พร้อมวางแผนพัฒนาเพิ่มศักยภาพการบริหารแก่ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ให้มีความพร้อมในการดำรงตำแหน่งนี้ คือส่วนหนึ่งของการนำผลประเมิน Competency มาบริหารจัดการใช้จริงในองค์กร ทั้งยังสามารถเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์องค์กรให้มีศักยภาพ วางแผนพัฒนาคนเก่ง ธำรงรักษาคนเก่งให้อยู่คู่องค์กร หากถามว่า ทำอย่างไรให้มีคนเก่งในองค์กร  
     Competency คือตัวชี้วัด ตัวประเมินความสามารถบุคลากรได้อย่างดีทีเดียว เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน