วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

อยากได้ผลงานจากพนักงาน แต่ทำไมไม่คิดสอนงาน


coaching 123
เรื่องของการสอนงาน หรือ Coaching นั้น ในปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่ทวีความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง กลาง หรือต้น หรือแม้แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ เองก็ยังต้องการที่จะมี Coach เพื่อที่จะค่อยให้คำปรึกษาแนะนำ และคอยกระตุ้นผลักดัน ติดตาม และทำให้เราตระหนักและเข้าใจในศักยภาพของตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ตัวเรานั้นได้รับการพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง
หลายองค์กรมีการจ้าง Coach มาสำหรับผู้บริหารเลย ว่าจะต้องพัฒนากันเรื่องอะไรบ้าง ก็เนื่องจากองค์กรต้องการดึงศักยภาพจากคนกลุ่มนี้ เพื่อให้สร้างผลงานในแบบที่เรายังไม่เคยทำมาก่อน จะว่าไปก็คือ ต้องการที่จะได้ผลงานที่ดีจากตัวผู้บริหาร ก็เลยต้องพัฒนากันหน่อย
คำถามก็คือ แล้วระดับพนักงานล่ะครับ ผู้จัดการทั้งหลายที่ต้องดูแลพนักงาน และต้องอาศัยพนักงานเป็นคนสร้างผลงานให้เรานั้น เราคิดอย่างไรกับการพัฒนาและสอนงานพนักงานเหล่านั้น
จากที่ผมได้เคยทำสำรวจเรื่องของความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรนั้น หนึ่งในหลายคำถามที่ถามผู้จัดการก็คือ คุณคิดอย่างไรกับเรื่องของการ Coaching
คำตอบที่ได้รับมาจากผู้จัดการก็คือ ส่วนใหญ่มองว่า เรื่องของการ Coaching นั้นมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องมือ ที่จะทำให้พนักงานได้รับการเติบโต และได้รับการพัฒนาที่ถูกทาง โดยที่ตัวผู้จัดการนั้นต้องทำหน้าที่เป็น Coach ด้วย
แล้วก็ตามด้วยคำถามที่ว่า “ในฐานะที่เป็นผู้จัดการอยู่นี้ ท่าน Coach พนักงานมากน้อยสักแค่ไหน”
คำตอบที่ได้มาก็เริ่มขาดๆ เกินๆ บางท่านตอบเลยว่า สอนทุกวัน แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ก็คือ สอนบ้าง ไม่สอนบ้าง เพราะงานที่ทำก็เยอะอยู่แล้ว ไม่มีเวลาจะมานั่งสอน
คำถามต่อไปก็คือ “อยากได้ผลงานที่ดีจากพนักงานหรือไม่” คำตอบคือ “อยากได้”
จากนั้นก็ถามต่อ “แล้วถ้าพนักงานทำงานออกมาแล้วผลงานยังไม่ดี ไม่เข้าตา ในฐานะที่เป็นผู้จัดการจะทำอย่างไร”
และคำตอบที่ได้ก็คือ “ก็ต้องสอน และให้คำแนะนำแก่พนักงาน จนเขาสามารถทำงานได้”
ได้คำตอบนี้แล้วก็พักในส่วนของผู้จัดการไว้ก่อน
จากนั้นก็เรียกพนักงานเข้ามาสอบถามว่า “ถ้าท่านทำงานออกมาได้ผลงานที่ไม่ดี ไม่เข้าเป้า หัวหน้าของท่านมีวิธีการบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร” คำตอบที่ได้มาตรงข้ามกับของผู้จัดการอย่างมาก มีดังนี้ครับ
  • เรียกไปตำหนิ แล้วก็บ่นให้ฟังว่างานมันผิดตรงไหนบ้าง ไล่ไปที่ละจุด จากนั้นก็บอกว่าให้ไปทำมาใหม่ โดยไม่แนะนำอะไรเลย พนักงานก็เดินจากมาด้วยความงงงวย จากนั้นคนแรกที่พนักงานเข้าไปถามเพื่อขอแนวทางในการแก้ไขปัญหาก็คือ เพื่อนพนักงานที่ไม่ได้ทำงานนั้น แบบนี้จะได้คำตอบที่ถูกต้องหรือ
  • ให้ไปหาวิธีการเอาเอง อีกกรณีหนึ่งก็คือ หลังจากที่บอกแล้วว่า งานผิดพลาด ก็จะมีคำพูดตามมาว่า “ลองไปศึกษาดูนะ แล้วหาวิธีการในการแก้ไขปัญหานี้ออกมาให้ได้ ผมจะคอยดูอยู่” พอพนักงานถามว่า จะต้องศึกษาเรื่องอะไร คำตอบที่ได้ก็คือ “ก็ลองกลับไปวิเคราะห์ดูสิ เรื่องแค่นี้ยังต้องมาถามอีก” เจอตอกกลับแบบนี้พนักงานก็คงต้องไปหาคำตอบด้วยตนเอง แต่ลองคิดดูนะครับว่า พนักงานที่ทำงานผิด แล้วไม่รู้ว่าวิธีการที่ถูกต้องคืออะไร นายก็ไม่แนะนำ แถมยังให้ไปหาวิธีการที่ถูกต้อง จะมีพนักงานสักกี่คนที่จะทำได้ในทันที พอทำช้าก็จะโดนตำหนิอีกเช่นกัน
  • เปลี่ยนให้คนอื่นที่ทำได้ ไปทำแทน อีกวิธีหนึ่งที่พนักงานเจอมาก็คือ ทำงานพลาด ทำไม่ได้ นายก็เลยเอางานนี้ไปให้พนักงานคนอื่นที่เขาทำได้ทำแทน พนักงานก็เลยเงิบไป ทำอะไรไม่ถูก
สามประเด็นข้างต้นที่ผู้จัดการทำนั้น พนักงานคนไหนที่ทำงานผิดพลาด ก็จะไม่มีทางรู้คำตอบที่ถูกต้องได้เลย แล้วเขาจะทำถูกได้อย่างไร แล้วผลงานจะดีขึ้นได้อย่างไร จริงมั้ยครับ
ผู้จัดการที่บริหารจัดการผลงานโดยผ่านพนักงานในทีม ล้วนแต่ต้องการให้พนักงานทำผลงานที่ดี เพื่อที่จะทำให้ผลงานของหน่วยงานของตนนั้นดีขึ้นด้วย ดังนั้น ถ้าตัวผู้จัดการเองไม่เข้าไปสอนงาน ให้คำแนะนำการทำงาน รวมทั้งให้กำลังใจแก่พนักงานในการทำงานแล้ว ผลงานที่ดีก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย
อยากได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ก็คงต้องดูแลแม่ไก่ให้ดีด้วยเช่นกัน การดูแลแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ให้อาหาร ไม่ให้ยาบำรุง แต่คาดหวังว่าแม่ไก่จะต้องออกไข่ที่ดีให้เราได้นั้น มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
จริงมั้ยครับท่านผู้จัดการทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น